人之初性本善 เหยินจือชูซิ่งเปิ่นซั่น
มนุษย์ทุกคน ในวัยเด็ก ธรรมญาณเดิมล้วนมีความบริสุทธิ์งดงาม จิตญาณเดิมแท้ซึ่งมีความบริสุทธิ์งดงามนี้ ทุกคนล้วนใกล้ชิดกับสภาวะนั้น และไม่มีใครดีไปกว่าใคร ไม่มีความผิดแผกแตกต่างว่าใครเลวร้ายกว่ากัน
ทว่าเมื่อวันเวลาผันผ่าน ทุกคนเริ่มเจริญวัยอายุมากขึ้น สภาพแวดล้อมของการศึกษาเรียนรู้ เรื่องราวต่างๆและสิ่งทั้งหลายที่เรียนรู้แตกต่างกัน บางคนเผชิญชีวิตในสภาพแวดล้วนที่บริสุทธิ์งดงาม บางคนตกอยุ่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย ขณะที่บางคนขยันหมั่นเพียรในการศึกษาเรียนรู้ แต่บางคนกลับไม่ตั้งใจเล่าเรียน อีกทั้งยังปล่อยให้ตนเองต้องค่อยๆตกต่ำลง ดังนั้นเดิมทีมนุษย์เราล้วนมีจิตธรรมญาณเดิมที่ใกล้เคียงสภาวะที่บริสุทธิ์งดงาม แต่ด้วยเหตุผลที่กล่าวไปข้างต้นทำให้นานวันยิ่งผันแปรไกลห่างไป ก่อให้เกิดข้อแตกต่างมีดีมีชั่วขึ้น
การประคองรักษาจิตญาณเดิมที่บริสุทธิ์งดงาม
สังคมในปัจุบันมีความแตกต่างระหว่างคนดีคนเลว เพราะสภาพแวดล้อมหลังเกิดกาย และผลกระทบจากการอบรมสั่งสอน ท่านเมิ่งจื่อศิษย์เอกของบรมครูขงจื้อได้เป็นผู้แสดงข้อคิดเห็นที่ว่า “จิตญาณของคนมีความบริสุทธิ์งดงาม” ท่านคิดว่าคนเราพอเกิดมา สิ่งที่ติดตัวมาพร้อมแต่กำเนิดคือมีจิตเวทนาสงสาร จิตละอายต่อบาป จิตโอนอ่อนผ่อนปรน รู้ปฏิเสธด้วยมารยาท และใจรู้ผิดชอบชั่วดี จิตใจสี่ประเภทนี้เรียกว่า “สี่ความเที่ยงตรง” เป็นสิ่งที่มีมาแต่กำเนิด ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นสั่งสอนชี้นำ
เหตุใดถึงกล่าวเช่นนี้ ยกตัวอย่างเช่น ขณะที่เราทั้งหลายเห็นเด็กกำลังจะตกลงไปในบ่อน้ำ พวกเราจะเข้าไปช่วยทันทีโดยไม่หยุดพิจารณาก่อน ก่อนที่พวกเราจะไปช่วยเด็ก ไม่ได้คิดใตร่ตรองใดๆว่า “เด็กคนนี้เป็นใคร?เขาเป็นลูกของคนมีฐานะหรือเปล่า? หากฉันช่วยเขาแล้ว จะได้รับอะไรเป็นของตอบแทน? หรือว่า เขาเป็นลูกของขโมย ปล่อยให้เขาตกลงไปบ่อ จมน้ำตายก็แล้วกัน เขาไม่เชื่อฟังพ่อแม่ เป็นเด็กไม่ดี
พวกเราเข้าไปช่วยเด็กโดยไม่ได้ใส่ใจว่าจะมีประโยชน์อันใดหรือได้รับผลร้ายอะไร เพียงแต่ความคิด ณ ชั่ววูบนั้นบังเกิดจิตเมตตาธรรมขึ้นมาจึงไปช่วยเหลือเขา จิตเมตตาธรรมที่บังเกิด ณ ขณะความคิดชั่ววูบนั้น คือ “ความดีงาม” ท่านเมิ่งจื่อเองก็อาศัยตัวอย่างนี้มาอธิบายถึงเหตุผลที่ว่า “จิตญานเดิมของคนเราบริสุทธิ์ดีงาม”
เพราะอะไรนับแต่อดีตจวบปัจจุบันสังคมถึงมีทั้งคนดีคนเลว? แม้ว่าจิตญาณเดิมของมนุษย์ล้วนดีงาม แต่เนื่องด้วยเติบโตมาจากสภาพแวดล้อม และได้รับการศึกษาเรียนรู้ที่ไม่เหมือนกัน จึงก่อให้เกิดข้อแตกต่างระหว่างดีชั่วขึ้น
คนๆหนึ่งแม้ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย แต่ ขอเพียงเขายินยอมตั้งใจศึกษาเรียนรู้ ยอมรับการชี้นำกล่อมเกลา รับการอบบ่มเพาะที่ถูกต้องเที่ยงตรง อาณาคตภายภาคหน้าย่อมสามารถประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่เช่นเดียวกัน ในมุมกลับกัน คนๆหนึ่งถึงแม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีพร้อม แต่เขาไม่ยอมรับการชี้นำกล่อมเกลาที่ถูกต้อง กลับมุ่งไปในทางที่ผิด และพัฒนาไปในทางเลวร้าย เช่นนี้จิตญาณดีงามเที่ยงตรงก็จะค่อยๆแปดเปื้อนถูกบดบังจนหมดสิ้น
จิตญาณดีงามของมนุษย์
ในอดีตมีผู้หนึ่งนาม หวังเลี่ย นามอักษรว่า “เยี้ยนฟัง” เป็นชาวตงฮั่น อยู่ในรัชสมัยกษัตริย์ซุ่นปกครอง วัยหนุ่มชื่อเสียงโด่งดังเหนือคนทั่วไป มีบุคลิกลักษณะไม่ธรรมดา ได้ไปพึ่งพิงอาศัยอยู่ที่ จวนผู้ว่า นามกงซุนตู้ เมืองเหลียวตง (ปัจจุบันคือตำบลเหลียวหนิง เมืองตงหนัน)
หวังเลี่ยมีอุปนิสัยเปิดเผย ซื่อตรง ชอบอบรมกล่อมเกลาผู้คน มีอยู่ครั้งหนึ่ง ในหมู่บ้านมีขโมยคนหนึ่ง ได้ขโมยวัวของชาวบ้าน ถูกเจ้าของบ้านจับได้ ขโมยผู้นั้นขอร้องอ้อนวอนต่อเจ้าของบ้านว่า “ข้าทำผิดไปแล้ว ไม่ว่าจะต้องถูกโทษจำคุกหรือฆ่าข้า ข้าล้วนยินยอม แต่ว่าได้โปรดอย่าให้เรื่องนี้ล่วงรุ้ไปถึงหูของท่าน “หวังเยี้ยนฟาง” นะขอรับ
หลังจากหวังเลี่ยทราบข่าวนี้ จึงมอบหมายให้คนส่งผ้าสองพับไปให้ชายขโมยคนนั้น มีคนถามท่านว่าเหตุใดถึงทำเช่นนี้ หวังเลี่ยกล่าวว่า “ขโมยคนนั้นเกรงว่าข้าจะทราบเรื่องที่เขากระทำผิด นั่นก็เพราะเขายังมีจิตละอายต่อบาป เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าเขาบังเกิดกุศลจิตดีงาม ดังนั้นข้าจึงมอบผ้าให้เขา เพื่อเป็นรางวัลส่งเสริมให้กำลังใจเพื่อให้จิตใจดีงามของเขาแตกหน่อ”
ต่อมา มีผู้เฒ่าท่านหนึ่ง ระหว่างทางได้ทำดาบหาย มีคนเก็บได้ คนๆนั้นรออยู่ข้างทางเพื่อรอเจ้าของดาบ จนกระทั่งตกกลางคืน ในที่สุดผู้เฒ่าก็กลับไปตามหาดาบ คนที่เก็บดาบได้ก็มอบดาบคืนให้ท่านผู้เฒ่า ผู้เฒ่ารู้สึกประหลาดใจมาก ได้นำเรื่องนี้ไปบอกกับหวังเลี่ย หวังเลี่ยจึงส่งคนไปสืบดูว่าคนผู้นั้นเป็นใคร จึงได้รู้ว่าเขาคือคนที่เคยขโมยวัวนั่นเอง
沒有留言:
張貼留言