มีตำนานเล่าสืบกันมาว่า ครั้งหนึ่ง ท่านหลวี่ต้งปิน หนึ่งในแปดเซียน
ลงมาท่องเที่ยวยังโลกมนุษย์
ท่านเห็นเด็กน้อยผู้หนึ่งยืนร้องไห้อยู่ริมถนน จึงเดินเข้าไปถามเด็กน้อยว่า
“หนูน้อย เจ้าร้องไห้เพราะเหตุใดหรือ? ”
เด็กน้อยสะอื้นไห้กล่าวว่า “ คุณแม่ของข้าไม่สบาย
ไม่มีเงินซื้อยาให้ท่าน จนหนทาง ไม่รู้จะทำอย่างไรดี?
ท่านหลวี่ต้งปิน เมื่อได้ยินดังนั้น คิดในใจว่า
“คาดไม่ถึงว่าชาวโลกมีจิตใจดีงามเช่นนี้ แม้แต่เด็กน้อย ตัวแค่นี้
ยังรู้จักกตัญญูบุพการี ช่างน่าซาบซึ้งยิ่งนัก ” จึงกล่าวกับเด็กน้อยว่า
“ เอาล่ะ ข้าจะช่วยอนุเคราะห์เจ้าเอง ”
กล่าวจบ ก็ใช้นิ้วชี้ไปยังหินก้อนหนึ่ง ที่อยู่ข้างทาง
หินก้อนนั้นก็กลายเป็นทองคำสว่างเรืองรองขึ้นมาทันที น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
านหลวี่ต้งปินหยิบทองคำก้อนนั้นขึ้นมา แล้วส่งให้กับเด็กน้อย
แต่หนูน้อยกลับส่ายหน้าปฏิเสธ เขากล่าวว่า “ข้าไม่เอา! ”
ท่านหลวี่ ต้งปิน รู้สึกฉงน คิดในใจว่าทำไมชาวโลกถึงได้มีจิตใจดีงามเช่นนี้
นี่ขนาดข้าให้ทองคำก็ไม่เอา จึงถามเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูว่า
“ หนูน้อย เมื่อเจ้าไม่เอาทอง ถ้าเช่นนั้นเจ้าอยากได้อะไร ? ”
“ข้าจะอยากได้นิ้วชี้ของท่าน! ” เด็กน้อยพูดตอบ
“เจ้าจะเอานิ้วชี้ของข้าไปทำไม? ” ท่านหลวี่ต้งปินถามด้วยความสงสัย
“ทองคำ ที่ท่านให้ แม้มีราคาสูง แต่สักวันหนึ่ง ต้องใช้หมดอยู่ดี
หากท่านมอบนิ้วชี้ของท่านให้ข้า เวลาข้าไม่มีเงิน
ก็สามารถเอามันออกมาเสกทองได้ตลอดเวลา ! ”
ท่านหลวี่ต้งปินเมื่อได้ฟังดังนั้น รู้สึกผิดหวังยิ่งนัก
ได้ตระหนักแก่ใจว่าความโลภของเวไนยยังคงสั่งสมมากมากมาย
แม้แต่เด็กน้อยที่จิตใจบริสุทธิ์ ยังถูกเงินตราครอบงำได้ถึงเพียงนี้
ความโลภของมนุษย์ คือสันดานนอนเนื่อง แม้แต่เด็กที่ไม่ประสาอะไร
ก็ยังถูกความโลภครอบงำ ดั่งคำกล่าวของศาสนาปราชญ์ที่ว่า “ กิน กาม จิต”
ศาสนาพุทธกล่าวว่า “ กิน กาม เกียรติ ”
แม้ทุกคนต่างก็มี แต่ควรควบคุมให้เหมาะสม
และควรเข้าใจหลักเหตุผลที่ว่า “มากตัณหาจะพาวิบัติ ”
ท่านเห็นเด็กน้อยผู้หนึ่งยืนร้องไห้อยู่ริมถนน จึงเดินเข้าไปถามเด็กน้อยว่า
“หนูน้อย เจ้าร้องไห้เพราะเหตุใดหรือ? ”
เด็กน้อยสะอื้นไห้กล่าวว่า “ คุณแม่ของข้าไม่สบาย
ไม่มีเงินซื้อยาให้ท่าน จนหนทาง ไม่รู้จะทำอย่างไรดี?
ท่านหลวี่ต้งปิน เมื่อได้ยินดังนั้น คิดในใจว่า
“คาดไม่ถึงว่าชาวโลกมีจิตใจดีงามเช่นนี้ แม้แต่เด็กน้อย ตัวแค่นี้
ยังรู้จักกตัญญูบุพการี ช่างน่าซาบซึ้งยิ่งนัก ” จึงกล่าวกับเด็กน้อยว่า
“ เอาล่ะ ข้าจะช่วยอนุเคราะห์เจ้าเอง ”
กล่าวจบ ก็ใช้นิ้วชี้ไปยังหินก้อนหนึ่ง ที่อยู่ข้างทาง
หินก้อนนั้นก็กลายเป็นทองคำสว่างเรืองรองขึ้นมาทันที น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
านหลวี่ต้งปินหยิบทองคำก้อนนั้นขึ้นมา แล้วส่งให้กับเด็กน้อย
แต่หนูน้อยกลับส่ายหน้าปฏิเสธ เขากล่าวว่า “ข้าไม่เอา! ”
ท่านหลวี่ ต้งปิน รู้สึกฉงน คิดในใจว่าทำไมชาวโลกถึงได้มีจิตใจดีงามเช่นนี้
นี่ขนาดข้าให้ทองคำก็ไม่เอา จึงถามเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูว่า
“ หนูน้อย เมื่อเจ้าไม่เอาทอง ถ้าเช่นนั้นเจ้าอยากได้อะไร ? ”
“ข้าจะอยากได้นิ้วชี้ของท่าน! ” เด็กน้อยพูดตอบ
“เจ้าจะเอานิ้วชี้ของข้าไปทำไม? ” ท่านหลวี่ต้งปินถามด้วยความสงสัย
“ทองคำ ที่ท่านให้ แม้มีราคาสูง แต่สักวันหนึ่ง ต้องใช้หมดอยู่ดี
หากท่านมอบนิ้วชี้ของท่านให้ข้า เวลาข้าไม่มีเงิน
ก็สามารถเอามันออกมาเสกทองได้ตลอดเวลา ! ”
ท่านหลวี่ต้งปินเมื่อได้ฟังดังนั้น รู้สึกผิดหวังยิ่งนัก
ได้ตระหนักแก่ใจว่าความโลภของเวไนยยังคงสั่งสมมากมากมาย
แม้แต่เด็กน้อยที่จิตใจบริสุทธิ์ ยังถูกเงินตราครอบงำได้ถึงเพียงนี้
ความโลภของมนุษย์ คือสันดานนอนเนื่อง แม้แต่เด็กที่ไม่ประสาอะไร
ก็ยังถูกความโลภครอบงำ ดั่งคำกล่าวของศาสนาปราชญ์ที่ว่า “ กิน กาม จิต”
ศาสนาพุทธกล่าวว่า “ กิน กาม เกียรติ ”
แม้ทุกคนต่างก็มี แต่ควรควบคุมให้เหมาะสม
และควรเข้าใจหลักเหตุผลที่ว่า “มากตัณหาจะพาวิบัติ ”
沒有留言:
張貼留言